@ukrairiksh: ต่อจากที่เล่าไป … ยิวที่หนีออกจากสเปน เหลือไม่ถึง 3000 คน กว่าจะผ่านฝรั่งเศส และลอมบาดีได้ ก็เหลือเพียง ไม่กี่ร้อย ในแต่ละสาย ยิวที่ไปที่เขตอำนาจเยอรมัน ถูกแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละหลักสิบคน ห้ามแต่ละกลุ่มมาพบปะกัน และห้ามเรียนหนังสือ พวกยิวในแต่ละกลุ่ม กลุ่มเล็กๆ จึงต้องผสมพันธ์ุกันเอง หรืออาจต้องผสมพันธ์กันในครอบครัว แม้ว่าจะขยายพันธ์ได้ แต่ก็ “เลือดชิด” ก็จะไม่ฉลาดบ้าง อ่อนแอบ้าง ประกอบกับไม่ได้เรียนหนังสือ จึงสติและปัญญาไม่ดี ยิวที่ไปเวนิส แม้จะรวมเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ก็ไม่กี่ร้อยคน ก็ไม่พ้น ปัญหาเลือดชิด แค่เบากว่ายิวที่เขตอำนาจเยอรมัน ไทยเรา เมื่อตั้งกรุงเทพฯ ก็มีคนอยู่ไม่กี่ร้อย แต่ดีที่เป็นคนต่างชาติเป็นส่วนมาก คนชาติต่างๆมาผสมพันธ์กัน จึงไม่มีปัญหาเลือดชิดอย่างพวกยิว พวกยิวเอง มีแนวนิยมว่าจะผสมพันธ์กันแต่ในพวกยิว ขณะเดียวกัน ฝรั่งยุโรป ชาวคริสต์ ก็รังเกียจที่จะผสมพันธ์กับพวกยิว เป็นเหตุให้ พวกยิวต้องผสมพันธ์ุกันเองในวงแคบๆ พวกยิว ถูกแบ่งกลุ่ม พวกที่พอจะคิดเลขได้ มีวิชาคิดเลขจากมุสลิม พวกคริสต์จะให้ทำงานบาป คืองานปล่อยเงินกู้ พวกที่คิดเลขไม่เป็น จะให้ทำงานสกปรก หรือเสี่ยงภัย กิจการปล่อยเงินกู้ เจ้าของเงินคือพวกคริสต์ เนื่องจากคริสต์ก็ห้ามปล่อยเงินกู้ เช่นเดียวกับอิสลาม จึงเป็นที่ยิวต้องทำ จริงๆยิวก็ไม่อยากทำ เพราะมันก็เป็นบาปของพวกยิวเช่นกัน ยิวก็แค่เสมียนธนาคาร คนที่รวยคือเจ้าของธนาคารและเจ้าของเงิน เช่นนี้ก็ชัดเจนว่ายิวไม่ได้ร่ำรวย ตระกูลยิวที่ว่าร่ำรวยและมีอิทธิพล จริงๆแล้วเป็นแค่หน้าฉาก ของคนที่รวยจริงๆต่างหาก ในไทยก็ทำนองเดียวกัน ถ้าย้อนไปดูที่มา จะพบว่า มันก็ไม่ต่างกันเลย นักวิทยาศาสตร์ยิวก็เช่นกัน ให้สังเกตุว่า ถ้าเป็นเรื่องดีๆ จะเป็นคนคริสต์คิด แต่ถ้าเป็นเรื่องชั่วๆ ก็จะเป็นยิวคิด จริงๆมันก็คนคริสต์คิดทั้งนั้นล่ะ แค่เขาไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาป จึงโยนให้ยิวรับหน้าแทน ก็ยิวมันไม่ฉลาด และไม่ได้เรียนหนังสือ มันจะคิดอะไรได้ล่ะ

รมดำ

Open In TikTok:

Region: TH

Tuesday 08 July 2025 12:20:17 GMT